ความมันส์ในการปั่นจักรยานบนท้องถนนกรุงเทพ

(…เสียงปรบมือดังก้อง ในขณะบันทึกเทปรายการหนึ่ง…)

พิธีกร:  สวัสดีครับท่านผู้ชม และแฟนรายการฯ พบกันอีกแล้วในรายการของเรานะครับ…
วันนี้เราจะมาทำความรู้จักคนธรรมดาๆคนหนึ่งกับ จักรยาน และ เรื่องราวบนท้องถนนของเขากันนะครับ…

แขกรับเชิญ: ครับ สวัสดีทุกท่าน ทั้งที่บ้าน และในห้องส่ง, ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ

พีธีกร: เอาหล่ะ! เริ่มกันเลยดีกว่า, คุณเก่ง.. เอ่อ ขออนุญาติเรียกว่า คุณเก่ง แล้วกันนะครับ ช่วยเล่าประวัติความเป็นมา ของจักรยานคันนี้สักนิดนึงครับ

แขกรับเชิญ: คือเริ่มแรก ผมก็มีอยู่คันนึงหน่ะครับ ซื้อมาเมื่อ 7 ปีก่อนนู้น เป็นเสือภูเขา TREK 4300 ซึ่งหายไปเมื่อ ปีก่อนนี้เอง,
ช่วงที่ไม่มีจักรยานปั่น เหมือนกับชีวิตผมมันขาดพลังยังไงไม่ทราบ มันท้อแท้ มันไม่ค่อยมีแรงทำอะไร

ผมก็เพิ่งได้มีโอกาสได้ซื้อคันใหม่ เมื่อต้นเดือน พฤศจิกายน ’49 นี่เองครับ ซื้อยี่ห้อเดิม แต่รุ่นดีขึ้นมาหน่อย คือ รุ่น TREK 6500 …หมดไปหลายหมื่นอยู่เหมือนกัน

พิธีกร: อืม..เดี๋ยวครับ, ผมติดใจนิดนึง ตรงที่บอกว่า ไม่ได้ปั่นจักรยาน แล้วมันจะเป็นจะตายอะไรขนาดนั้นเลยหรือครับ เกินไปนิดส์นึงหรือเปล่า ช่วยขยายความหน่อยครับ

แขกรับเชิญ: มันก็ไม่ขนาดนั้นหน่ะครับ, คือต้องอธิบายนิดนึงก่อนว่า พื้นฐานคนเราไม่เหมือนกัน บางคนอาจทำงานอดิเรกอย่างอื่น แต่สำหรับผม การได้ปั่นจักรยาน มันเหมือนกับเป็นการสร้างพลัง และละลายความท้อแท้ในใจได้หน่ะครับ

เพราะเวลาผมได้ใช้พลังงาน จากร่างกาย ในการปั่นระยะทางไกลๆ มันทำให้เราได้รู้สึกถึงความเหนื่อยยาก ได้รู้สึกถึงพลังและแรงงานที่ร่างกายมนุษย์สามารถทำงานได้ เหมือนได้สัมผัสถึงความลำบากในชีวิต, ในหัวสมองของผมตอนนั่งอยู่บนเบาะจักรยาน ก็ไม่ได้คิดอะไรไป มากกว่า“ปั่นต่อไป…ไปให้ถึง” หรือไม่ก็คิดว่า “หัวใจจงสูบฉีดโลหิต ปอดจงสูบอากาศ ร่างกายจงเคลื่อนไหว” คิดซ้ำๆ วนๆ เวียนๆ เหมือนตอกย้ำทางความคิด

จากนั้น…ความรู้สึกเมื่อถึงที่หมายปลายทาง มันเหมือนได้ทำอะไรบางอย่างสำเร็จได้ด้วยตัวเองหน่ะครับ มันเป็นความสำเร็จเล็กๆน้อยๆทีเกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ซึ่งผมคิดว่า เมื่อสะสมความรู้สึกนี้ไปเรื่อยๆ มันเหมือนว่า โลกนี้ก็ไม่มีอะไรที่จะหยุดเราได้ หากเรายังไม่หมดความพยายามหน่ะครับ ……

พิธีกร: ฟังแล้วค่อนข้างเวอร์นิดนึงนะครับ แต่ก็เอาเถอะครับ คนเราคิดไม่เหมือนกัน อันนี้ผมเข้าใจ….แสดงว่าคุณเก่ง ผูกพันกับจักรยานมากสินะครับ

แขกรับเชิญ: มันก็ไม่ได้ถึงขนาดผูกพันอะไร แบบในนิยายขนาดนั้นหรอกนะครับ แต่ผมเห็นว่า มันเป็นสิ่งของสิ่งนึงที่ถ่ายทอดความรู้สึกและตัวตนของผมลงไปได้
คงประมาณว่า จิตรกร ต้องมี ผ้าใบและภู่กัน, นักร้อง ที่ต้องมีไมค์โครโฟน อะไรแบบนั้นมากกว่าครับ

ที่สำคัญ คือในช่วงเวลาสำคัญต่างๆของชีวิตผม หลายๆฉาก ผมมักมีไอ้เจ้าจักรยานคู่กายของผม อยู่ข้างกายบ่อยๆ
มันเลยทำให้เหมือนเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยรื้อฟื้นความทรงจำในลิ้นชักสมอง ของผมได้ดีหน่ะครับ

พิธีกร: เอ…. ฟังดูน่าสนใจนะครับ, ช่วยยกตัวอย่างให้ผมเข้าใจอีกสักนิดนึงจะได้ไหมครับ?

แขกรับเชิญ: อย่างช่วงไปเปิดติวรุ่นน้อง, ช่วงสอบเข้าลาดกระบัง, ช่วงหกอัก หรือช่วงไหนๆ ถ้าผมความจำไม่เลอะเลือน ผมว่าผมเดินทางไปไหนมาไหนได้พบ/ได้กระทำ เหตุการณ์เหล่านั้น ด้วยการเดินทางโดยจักรยานหน่ะครับ… สมองผมคงบันทึกข้อมูลได้ดีตอนใช้แรงงานกระมัง 555+

พิธีกร: ไปติวรุ่นน้อง หรือไปสอบ ผมยังพอเข้าใจ แต่อกหัก มันเกี่ยวอะไรด้วยครับ?

แขกรับเชิญ: ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ผมเล่าคร่าวๆ ข้ามไปตรงจุดไคลแมกซ์เลยแล้วกัน, ลองนึกภาพมิวสิควิดีโอน้ำเน่าซักเรื่อง มีแบคกราวน์เป็นฉากฝนตกพรำๆ มีไอ้บ้าคนนึงปั่นจักรยานลุยฝนหนาวสั่น ไปติดไฟแดงตรงสี่แยก จอดอยู่ข้างๆรถยนต์คันหนึ่ง….พอเหลือบสายตามองผ่านกระจกที่ขึ้นฝ้า ก็เห็นคนหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่ง กำลังนั่งอย่างมีความสุขบนรถยนต์คันหรู หน่ะครับ…. เอ..ผมเล่าแค่นี้คงพอกระมังครับ
คงไม่ต้องเล่าเนื้อเรื่องก่อนหน้า หรือ ต่อจากนั้นหรอกมั้ง….เล่าไปก็ไม่ได้ช่วยให้ผมลืมเสียหน่อย

พิธีกร: ครับๆ ไม่เล่าก็ไม่เล่า….เอาเป็นว่าคุณมีจักรยานคันที่ว่า เป็นพาหนะคู่กายตลอดมา ก็แล้วกัน
ว่าแต่คุณช่วยตอบคำถามผมหน่อยเถอะ… ทำไมคุณไม่ซื้อรถ หรือซื้อมอเตอร์ไซค์ หน่ะหรือว่าคุณไม่มีตังค์ซื้อ?

แขกรับเชิญ: คำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิต ที่ผมเจอเลยนะครับ, ก่อนอื่นผมบอกก่อนเลยว่า ไม่ใช่ผมไม่มีตังค์…เรื่องเงินหน่ะผมมี
เพราะถ้าผมไม่เอาตังค์ไปซื้อจักรยาน เปลี่ยนเอาไปซื้อมอไซค์ หรือดาวน์รถยนต์คันย่อมๆซักคันนึงก็ยังได้….จักรยานผมไม่ใช่ถูกๆนะ

แต่ผมเบื่อครับ ผมเบื่อกับชีวิตที่มันต้องอยู่บนท้องถนนอย่างไร้ชีวิต ไร้พลัง ไร้แรงจูงใจ เบื่อชีวิตที่ต้องเป็นทาส ขสมก. และตำรวจจราจร
เบื่อชิวิตที่ต้องเป็นหุ่นยนต์ เบื่อความเครียดสะสม บนท้องถนนกรุงเทพ
ผมว่าถ้าเยาวชนชองชาติได้ซึมซับความไร้พลัง ความไร้ชีวิตของเดินทางบนท้องถนนในบ้านเราบ่อยๆเข้า เค้าคงขาดพลังในการผลักดันอย่างอื่น หรือไม่ก็คง ซึมซับความล่าช้าและความไม่ตรงต่อเวลาเข้าไปในสายเลือด ไม่ก็ซึมซับความเช้าชามเย็นชาม อย่างที่ข้าราชการไทยทำให้เห็นอยู่บ่อยๆ แน่ครับ

ทั้งหมดนี้มันเกี่ยวกับการจราจรในบ้านเราทั้งนั้น, ผมไม่เคยเห็นเด็กที่โตในกรุงเทพซักคนเลย ที่เวลาไปสายที่ไหนแล้วจะไม่อ้างคำว่า “รถมันติด” ทั้งๆที่มันก็ติดอยู่อย่างนั้นทั้งปีทั้งชาติ
ผมเองก็เกิดและโตในกรุงเทพ ผมเครียดและเบื่อทุกครั้งตั้งแต่เด็กจนโต ว่าเมื่อไรกรุงเทพ รถมันจะไม่ติดซักที
จนกระทั่งวันนึงผมได้ปั่นจักรยานบนท้องถนน นับแต่นั้นมา ผมเลยได้เสพถึงความสุดยอดในการเดินทางด้วยจักรยานนับแต่นั้นมาครับ ไม่ต้องง้อ น้ำมัน ไม่ต้องง้อรถติด ใช้เพียงแค่แรงกาย และแรงใจก็ไปถึงจุดหมายได้เหมือนกัน

พิธีกร: แล้วคุณเคยเกิดอุบัติเหตุบ้างไหมครับ ผมว่ามันน่าอันตรายออกนะ ปั่นจักรยานบนถนน…

แขกรับเชิญ: ในสายตาคนภายนอก ผมว่ามันก็ดูน่าอันตรายนะครับ แต่สำหรับผม หรือท่านอื่นที่เค้าปั่นกัน ผมว่าคงคิดเหมือนๆกันว่า มันอันตรายน้อยกว่าขับมอเตอร์ไซค์เยอะครับ
เพราะความเร็วเต็มที่ที่เราจะปั่นได้ มันก็ไม่ได้เร็วมากแบบมอเตอร์ไซค์ เราปั่นชิดซ้ายขอบถนน หรือขึ้นฟุตบาทบ้างบางโอกาส
และที่สำคัญ บนท้องถนนกรุงเทพนั้น ไม่มีทางที่จะเจอรถยนต์วิ่งเร็วๆหรอกครับ ติดไฟแดงตลอดศก
พูดง่ายๆคือ โอกาสเกิดอุบัติเหตุน้อยกว่ามอเตอร์ไซค์เยอะครับ

แต่ปัญหาที่แท้จริงของอุบัติเหตุของจักรยานบนท้องถนน มันอยู่ที่ “พื้นถนน” มากกว่าครับ
ผมว่า วิสัยทัศน์ และ ความคิดของผู้ที่มีหน้าที่ในด้านนี้ ค่อนข้าง “คิดน้อย” มากๆครับ, เพราะถนน ในท้องถนนกรุงเทพ มันค่อนข้างจะเรียกได้ว่า วิกฤต มากๆ
ไม่ว่าจะเป็นไหล่ทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ, ฝาท่อระบายน้ำที่ไม่เรียบกับพื้นถนนและมีน้ำขัง, ตะแกรงระบายน้ำที่เป็นร่องตามยาว ตามแนวล้อจักรยาน (เผลอตกร่อง ก็มีแต่ล้มคว่ำเท่านั้น)
หรือตลอดจนไบค์เลน (เลนสำหรับขับจักรยานโดยเฉพาะ) ที่เคยผลักดันกันอยู่พักหนึ่ง ก็ยังไม่ได้เรื่องได้ราวเลยครับ

ผมอ่านข่าวต่างประเทศ เอาแค่เพื่อนบ้านของเรา, เวียดนาม, ก็พอครับ
ระบบขนส่งและการจราจรขั้นพื้นฐานของเค้า กำลังจะล้ำหน้าเมืองไทยไปแล้ว
ก็คงเพราะวิสัยทัศน์แคบๆ และมัวแต่คอร์รับชั่นกันกระมังครับ เลยทำให้พวกเค้า “คิดเยอะๆ” ไม่เป็นกัน…. หรือเค้าแกล้ง จงใจโง่ ก็ไม่ทราบได้เหมือนกัน

พิธีกร: แสดงว่าคุณเคยเจออุบัติเหตุบนท้องถนนเหมือนกัน ใช่ไหมครับ?

แขกรับเชิญ: ครับ, แต่อุบัติเหตุทุกครั้งไม่เคยเกิดจากรถยนต์คันอื่นๆเลย เกิดจากพื้นถนน ทั้งสิ้น
ผมเคยเจอถนน ที่อยู่ๆ ก็เป็นหลุมลึกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาคว่ำหลายตลบ
เคยเจอถนน ที่ไหล่ทาง อยู่ๆก็เป็นเหวสูงหนึ่งฟุตขึ้นมา เหมือนว่างบทำไหลท่างมันหมดตรงนั้น พอดี
เคยเจอ ตะแกรงระบายน้ำ ที่ไม่ทราบว่า เอาหัวแม่เท้าคิดหรืออย่างไร ถึงต้องวางแนวตะแกรงตามยาว ทั้งๆที่วางแนวตามขวางก็ใช้งานได้ไม่ต่างกัน และปลอดภัยกว่าด้วย, ล้อผมติดเข้าร่องก็ล้มกลิ้งลูกเดียว

ล่าสุดที่ผมล้มอยู่เมื่อวาน ก็เจอทางรถไฟ เฉียงตัดกับทางรถยนต์หน่ะครับ ล้อก็ติดเข้าร่องทางรถไฟแล้วก็คะมำตามระเบียบ ได้แผลที่ขาเหวะหว่ะ และระบมทั่วตัวเลย

พิธีกร: โห…แล้วอย่างนี้ไม่เข็ดขยาดบ้างหรือไงครับ ผมว่ามันอันตรายออกนะ

แขกรับเชิญ: ก็มีบ้างครับ, แต่เทียบกับประโยชน์ที่เราได้รับแล้ว ผมคิดว่ามันคุ้มมากกว่า มากมาย เพราะผมคิดว่าอุบัติเหตุ เกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าเราประมาท หรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ตลอด ถ้ามันจะเกิด
ดูอย่างระเบิดแปดจุดทั่วกรุงเทพสิครับ ผมว่าน่ากลัวกว่าปั่นจักรยานอีก เพราะอยู่ๆก็โดนแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย

พิธีกร: อืมๆ พูดถึงระเบิด, อันนั้นก็น่ากลัวเหมือนกันครับ ได้ยินข่าวมาว่า คุณเก่ง เกือบโดนระเบิดเหมือนกันนี่นา?

แขกรับเชิญ: คิดแล้วก็ยังเสียวๆอยู่เลยครับ, วันเกิดเหตุวันนั้นผมเดินเล่นแถวเสาวรีย์ชัยกับเพื่อนอยู่พอดี ดีที่ขึ้นรถไฟฟ้ามาสยายมพารากอนก่อน ไม่อย่างนั้นอาจมีลูกหลงเหมือนกัน
แต่พอมาห้าง ซักพักก็จำต้องกลับ เพราะห้างปิดไล่ ไอ้ผมกับเพื่อนก็ดันแร่ดๆ จะไปที่อื่นต่อ ไม่ว่าจะ เซ็นทรัลชิดลม, สวนลุมไนท์ฯ, ซึ่งเป็นจุดเป้าหมายทั้งนั้นเลย ….จะเรียกว่าดวงดีก็ได้ครับที่รอดระเบิดมาหน่ะ….
แต่เอ๊ะ มันไม่เกี่ยวกับเรื่องจักรยานและท้องถนนกรุงเทพนี่ครับ!

พิธีกร: อ่าครับ…งั้นเข้าเรื่องต่อดีกว่า….ผมว่าคุณปั่นในเมืองมันเกิดอุบัติเหตุเยอะนะครับ ผมเห็นส่วนใหญ่เค้าชอบปั่นกันชมนกชมไม้ ดูทิวทัศน์ หรือไม่ก็ไปแข่งขันกันตามสนามต่างๆ
ทำไมคุณเก่งไม่ทำแบบนั้นบ้างครับ

แขกรับเชิญ: อืม… ผมเห็นส่วนใหญ่เค้าก็ปั่นกันแบบนั้นนะครับ แต่อย่างว่า, คนเราความชอบต่างกัน
สำหรับผม ให้ไปปั่นแบบนั้น มันไม่สนุกสำหรับผม เพราะผมไม่ได้ต้องการปั่นเพื่อสุขภาพ หรือปั่นชมนกชมไม้ หรือเพื่อการแข่งขัน
แต่ของผม มันเกิดจากความพยายามที่จะหลีกหนีออกจากระบบขนส่งมวลชนในกรุงเทพ เสียมากกว่าครับ
แล้วความสนุกมันก็ค่อยๆเกิดขึ้นจากจุดนั้น ไม่ว่าจะเป็นการลัดเลาะซอกซอนไปตามรถติด, การกระโดดขึ้นลงตามฟุตบาท, การปั่นขึ้นสะพานสูงๆต่างๆ, การได้ปั่นท่ามกลางแสงสีของไฟในยามราตรีของถนนสองข้างทาง เป็นอะไรที่ผมคิดว่ามันสวยงามมากครับ

ความรู้สึกคงเหมือนกับคนที่ปั่นไปตามชนบท แล้วชมวิวทิวทัศน์มั้งครับ ผมคิดว่าคงเหมือนกัน แต่ผมชอบแบบนี้มากกว่า

พิธีกร: ความชอบของคนเราก็แตกต่างกันจริงๆครับ, พูดไปแล้วก็ตลก ที่ผมเห็นบางคน เค้าซื้อจักรยานราคาแปด-เก้าหมื่น มาเพื่ออวดกันว่า ใครแพงกว่ากัน
สุดท้ายก็ปั่นรอบหมู่บ้านรอบนึงแล้วก็จอดเก็บ

แขกรับเชิญ: คงเป็นความชอบส่วนตัวของเค้ากระมังครับ คนเรายิ่งไม่มีอะไร ยิ่งอยากชดเชยปมด้อยตรงจุดนั้น
เค้าไม่ได้ทำร้ายใครก็ปล่อยให้เค้าอวดรวยและสนุกไปกับจินตนาการของเขาไปเถิด

พิธีกร: ครับ, คุณนี่มองโลกในแง่ดีจริงนะครับ, ว่าแต่คุณเก่ง มีเรื่องฮาๆ อะไรเกี่ยวกับจักรยาน หรือบนท้องถนนพอจะเล่าให้เราฟังได้ไหมครับ?

แขกรับเชิญ: จะว่าไปก็มีเยอะเหมือนกันนะครับ เอาเรื่องที่ผมเจอบ่อย ซักเรื่อง-สองเรื่องก็แล้วกัน
เรื่องแรก ผมให้ชื่อเรื่องว่า “กูก็หนึ่งในตองอูเหมือนกัน”….
คือเรื่องมันมีอยู่ว่า เวลาผมปั่นจักรยานไปตามถนนที่ไหนๆ แล้วผมเจอจักรยานคันอื่นๆ ที่ปั่นด้วยความเร็วไม่เร็วมากนัก ผมก็จำต้องแซงเค้าไป เนื่องจากผมจำเป็นต้องรักษาระดับความเร็วให้ได้คงที่ตลอดหน่ะครับ
แต่ทุกครั้งที่แซงไป เน้นเลยนะครับว่า “ทุกครั้ง” พวกจักรยานเหล่านั้นก็จะพยายามอัดเอาเป็นเอาตาย เพื่อที่จะแซงคืนให้ได้ พอแซงพ้นก็กลับมาเชื่องช้าเหมือนเดิมอีก
ซึ่งผมรำคาญมากๆ ผมถือว่าเป็นการรบกวนเส้นทางและการรักษาความเร็วของผม ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมเค้าไม่รู้จักประมาณตนตัวเค้าเอง ว่าเค้าปั่นแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่จำเป็นต้องไล่ตามคนอื่นเพียงเพราะอยากโชว์,  ที่ผมแซง ก็ไม่ได้หมายความว่าผมดูถูกพวกเขา แต่เป็นเพราะประมาณตนว่าผมปั่นอยู่ด้วยความเร็วนั้นเรื่อยมา
คนอื่นก็เคยแซงผมบ่อยๆ ผมก็ไม่เห็นต้องใส่ใจ เพราะถ้าเค้าจะไปด้วยความเร็วของเค้า ก็เรื่องของเค้า แต่ผมไปด้วยความเร็วของผม นั่นก็คือเรื่องของผม

เวลาผมเจอคนพวกที่ปั่นเร็วบ้าง ช้าบ้าง, มึงแซงกู กูแซงมึง แบบนี้ผมชักจะเริ่มเบื่อ….
พอผมเริ่มเบื่อผมก็จะใส่ความเร็วสูงสุดเท่าที่ผมจะทำได้ เพื่อแซงไปให้พ้นหูพ้นตา ไม่ให้เห็นฝุ่น (มึงตามได้มึงเก่ง)
เพราะถ้าทิ้งให้ไอ้พวกเร็วบ้างช้าบ้างเพียงเพราะอยากโชว์พวกนี้ ตามมาพัวพัน ตัดไม่ขาด คงเกิดอุบัติเหตุทางใดสักทางกับผมแน่ๆครับ

พิธีกร: หึๆ เด็ดขาดมากครับ เปลี่ยนชื่อเรื่องเป็น “ตีงูต้องตีให้ตาย” ดีกว่ามั้งครับ

แขกรับเชิญ: อันนั้นโหดไปมั้งครับผมว่า, ผมไม่ได้กะจะตีงูซักหน่อย ผมก็แค่ไม่ชอบคนที่ไม่รู้จักประมาณตน ก็แค่นั้นเอง
ส่วนอีกเรื่องที่จะเล่า ก็คงเป็นเรื่องเบาสมองหน่อยๆครับ ชื่อเรื่อง “คันนี้ซื้อที่โลตัส”
เรื่องมันมีอยู่ว่า ไม่ว่าจะไปที่ไหน ถ้าผมลองได้จอด แล้วมีคนอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็น พี่ยาม, คนที่อยู่ตามป้ายรถเมล์, พี่วินมอไซค์ ฯลฯ
มักจะด้อมๆมองๆ พร้อมกับยิงคำถามยอดฮิตว่า “คันนี้ซื้อมากี่บาท?”

ซึ่งจะเป็นว่าเป็นประโยคง่ายๆ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่อย่าลืมว่า “ราคายิ่งสูง ยิ่งล่อตาโจร” แล้วทำไมผมต้องบอกราคาให้ล่อตาล่อโจร ด้วยหล่ะ ถึงคนถามไม่ใช่โจรก็เหอะ แต่จะรู้ได้ไงว่าคนแถวนั้นไม่มีโจร? กันไว้ดีกว่าแก้ครับ

ดังนั้นคำตอบมาตรฐานที่ควรตอบ ก็คือ
“ไม่กี่พันบาทครับ”
“ไม่รู้เหมือนกัน มันแถมมากับรถกระบะ”
“อู้ย คันนี้ญาติให้มา ราคาถูกๆ”
“คันนี้ซื้อที่โลตัส หน่ะครับ เจ็ดแปดพันเอง”
ฯลฯ
สรุปคือ จำต้องบอกราคาให้มันต่ำเข้าไว้ อย่างน้อย ให้มันต่ำกว่าราคาโทรศัทพ์มือถือแหละ ยิ่งดี (พี่ไปขโมยมือถือคุ้มกว่า เชื่อผม!)

ถ้าไม่ใช่เพื่อน, คนรู้จัก, หรือ ญาติสนิท   ไม่จำเป็นต้องบอกราคาจริงให้เค้ารู้หรอกครับ อันตรายเปล่าๆ

พิธีกร: จักรยานคันก่อนของคุณเก่ง ก็โดนขโมยไปเหมือนกันนี่ครับ อย่างนี้ยิ่งระแวงเลยสิ

แขกรับเชิญ: อ่อ คงไม่กระมังครับ ไม่ขนาดนั้น

พิธีกร: ครับ, มาถึงช่วงสุดท้ายของรายการแล้วครับ คุณแก่ง มีอะไรจะฝากบอก หรือ กล่าวอะไรกับผู้ชม ผู้ฟัง บ้างไหมครับ

แขกรับเชิญ: อืม… ก็คงไม่มีอะไรมากหรอกครับ เอาเป็นว่า
ถ้าคุณเป็นผู้ว่า กทม. ผมขอให้คุณช่วยทำถนนให้มันดี หน่อยเถิดครับ หรือ เห็นใจพาหนะเล็กๆบนท้องถนนบ้าง
ถ้าคุณเป็นคนที่รู้จักผมคนนึง ผมขอให้คุณเข้าใจผม ว่าผมปั่นจักรยานเพราะอะไร ผมคิดยังไง
ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ปั่นจักรยานเหมือนกัน ผมขอเล่าเพื่อแบ่งปันความรู้สึกบนท้องถนนร่วมกันกับผมก็แล้วกัน
ถ้าคุณเป็นคนนึงที่ปั่นจักรยานแล้วโดนผมแซง ผมอยากบอกแค่ว่า ผมไม่ได้สู้กับคุณ ผมกำลังสู้กับตัวผมเองอยู่
ถ้าคุณเป็นใครซักคนที่ไม่รู้จักกับผม ผมอยากบอกแค่ว่า คุณไม่มีทางได้รู้ถึงราคาที่แท้จริงของจักรยานคนๆนั้นหรอกครับ ถ้าคุณไม่สนิทหรือไม่รู้จักกับเขา
ถ้าคุณเป็นใครซักคนที่กำลังลังเลในการซื้อจักรยานให้ลูก ผมอยากบอกแค่ว่า สนับสนุนเค้าเถิดครับ สร้างกำลัง และ พลังจากตัวคนข้างใน แทนที่วัตถุภายนอกของโลกทุนนิยม มันเป็นเรื่องดีซะกว่า, เพราะตอนนี้ เยาวชนเวียดนามกำลังจะแซงเราไปไกลแล้วครับ

ขอบคุณทุกท่านที่รับชม รับฟัง จนจบครับ

พิธีกร: ครับ, ขอบคุณคุณเก่งมากครับ สำหรับวันนี้
พบกันได้ใหม่ในโอกาสหน้า เวลาเดียวกันนี้นะครับ สวัสดีครับ….

(…ปิดม่าน พร้อมกับไฟที่หรี่ลงเรื่อยๆ…ก่อนที่จะตัดเข้าโฆษณา….)

This entry was posted in Life. Bookmark the permalink.

3 Responses to ความมันส์ในการปั่นจักรยานบนท้องถนนกรุงเทพ

  1. Clound says:

    อ่านแล้วมันโครต ท่านต้องเล่าเรื่องตอนปั่นจักยานขึ้นสะพานปินเกล้า แล้วเบรกทีก้ามเบรกกระจาย ตูม… ออกมาด้วยนะท่าน

  2. Clound says:

    ในวันที่น้องเชอร์รี่เราบาดเจ๊บสาหัสจากอุบัติเหตุ เรารู้สึกเศร้ากว่าที่เราเตรียมตัวเตรียมใจไว้ การยืนทั้ง ๆ ที่ใจมันล้มลง มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะชอบเลย….
     
    ในวันทีท่านจักยานหาย เราก็เตรียมใจสำหรับรถของเราแต่ ….. พอเอาเข้าจริงแทบทำใจไม่ได้เลย……

  3. ขวัญชนก says:

    อ่ะนะ

Leave a comment