ครบรอบหนึ่งปีที่นิ้วหัก

วันนี้เป็นวันครบรอบหนึ่งปี ที่ผมได้รู้ถึงความอ่อนแอของร่างกายมนุษย์…
 
… แต่ก่อน ในวัยเด็ก ผมเคยเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ถึงศักยภาพในร่างกายมนุษย์
ผมเคยคิดว่า ต่อให้ตัวผมตกจากตึกสูง 4ชั้น ผมคงไม่ตาย, ถ้ามีรถพุ่งเข้าใส่ผมคงกระโดดขึ้นไปยืนบนฝากระโปรงหน้ารถโดยไม่ยากเย็น แบบ จา พนม (เพื่อไม่ให้รถชน), หรือเคยคิดแม้กระทั่งว่า ต่อให้โดนปืนยิงใส่ร่างกาย(ที่ไม่ใช่อวัยวะสำคัญ) ก็คงเดินขึ้นรถเมล์ไปหาหมอได้อย่างไม่ยากเย็น….
….
แต่ความคิดดังกล่าวถูกบั่นทอนด้วย เหตุการณ์ 2 อย่าง
 
      เหตุการณ์แรกคือ "ผมเป็นหวัด" เหตุเพราะปั่นจักรยานตอนดึกในคืนหน้าหนาว, กล่าวคือ ปอดต้องสูบอากาศเย็นๆเข้าๆออกๆ เป็นระยะเวลาเกือบชั่วโมง วันรุ่งขึ้นจึงนอนซมเพราะเป็นหวัด และได้รับรู้ว่า อาการป่วยเป็นหวัดจนมึนหัว ลุกไม่ขึ้นเป็นอย่างไร, อาการตาลาย และ หมดแรง รู้สึกแบบไหน…….. ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยรับรู้รสชาติของการป่วยได้ขนาดนี้เลย…นอนซมจนต้องสั่งเสียเพื่อนที่อยู่ในหอพักเดียวกัน ว่าให้มันมาเคาะห้องเรียกหน่อย ดูว่านอนตายอยู่ในห้องหรือเปล่า จะได้ให้มันโทรบอกที่บ้านให้ด้วย
      ภายหลังจากนอนซมด้วยพิษไข้ และคลานไปคลานมาอยู่ในห้อง ประมาณ 3-4 วันก็หายหวัด จึงตระหนักได้ว่า ร่างกายมนุษย์ มันช่างอ่อนแอกว่าที่คิด จำเป็นต้องดูแลรักษาให้ดีมากกว่าเดิม….
 
….ส่วนอีกเหตุการณ์ ยิ่งตอกย้ำและลบล้างความเชื่อมั่นเก่าๆไปเกือบหมดเลย นั่นคือ "นิ้วนางมือขวาผมหัก"
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีก่อน…, เหตุเกิดเพียงเพราะไปเดินชนรถมอเตอร์ไซค์ของคนอื่นที่จอดไว้จนเกือบล้ม จึงรีบใช้มือขวา คว้าบริเวณที่จับตรงท้ายรถมอเตอร์ไซค์ เพื่อพยุงไม่ให้มันล้ม จากนั้นออกแรงแบบฝืนๆผิดท่า
ทำให้แค่การดึงรถขึ้น กลายเป็นการออกแรงดึงนิ้วตัวเองให้หัก.
 
….เสียงนิ้วหักดัง "กร๊อบ" ……
…พอยกมือขึ้นมาดู ปรากฏว่า ข้อนิ้วนางปลายนิ้ว มันหักอย่างผิดรูป
(โปรดกางนิ้วมือขวา แล้วนึกภาพตามว่า นิ้วนางมันหักครึ่ง 90 องศา หักมาทางนิ้วกลาง )
…ไร้ซึ่งความเจ็บปวดใดๆ…และด้วยอารามตกใจ กลัวนิ้วพิการ (และอาจจะดูหนังแอคชั่นมากไป) เลยยืนดัดนิ้วตัวเองให้มันเข้าสู่สภาพเดิม (จริงๆไม่สมควรทำเป็นอย่างยิ่ง) 
….ใช้มือซ้ายที่เหลือ นั่งโยกกระดูกข้อนิ้วให้กระดูกมันเข้ารูป ให้นิ้วไม่งอแบบผิดรูป…บิดไปมาดังกร๊อบๆ สองสามที จนนิ้วเริ่มเข้าที่….
 
….ในใจตอนนั้นนึกแต่เพียงอย่างเดียวว่า "ร่างกายของคนเรามันอ่อนแอกว่าที่คิด"  แค่ดึงของหนักๆ นิ้วก็หักเสียแล้ว อย่างนี้ถ้าผมตกตึก ผมจะรอดไหมนี่……
..คิดไปพลางเดินไปหาหมอ โรงบาลนู้นที่ โรงบาลนี้ที เหตุเพราะไม่มีหมอกระดูก จนสุดท้ายได้ไปโรงบาลแห่งหนึ่งแถวๆมีนบุรี…
ไปถึงห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน…ให้บุรุษพยาบาล (ตอนแรกคิดว่าเป็นหมอ) ทำการรักษาให้
พี่แกก็แค่เอาแผ่นเหล็กมาทำเป็นเฝือกดามนิ้วซะอย่างนั้น โดยไม่ได้ดูอาการอะไรเลย ฟิลม์เอ็กซ์รง เอ็กซ์เรย์คงเห็นเป็นแค่กระดาษเช็ดก้น ก็เลยไม่ได้ดูเลยซักนิด… ไอ้เราก็คิดในใจว่า นี่ถ้าตูไม่นั่งดัดนิ้วให้มันเข้าที่ มันก็คงเข้าเฝือกทั้งๆที่นิ้วงอไปแล้วหล่ะมั้ง ก็เลยทักมันไปว่าตอนแรกมันหักมากกว่านี้อีกนะ นี่ผมดัดมันเข้าที่ได้แค่นี้เอง
….มันฟังดังนั้นก็เลยงอนิ้วให้เราเป็นพิธี (…เจ็บมากเลย ไอ้เวร นี่ถ้ารู้ตอนนั้นว่าไม่ใช่หมอ ผมคงด่ามึงแล้วครับ…)
 
หลังจากเข้าเฝือกรักษาเป็นเวลาสองเดือน จึงเริ่มหายโง่ว่าเอานิ้วไปให้บุรุษพยาบาลรักษา มันก็รักษาตามมีตามเกิด ไม่ได้ใช้วิชาทางการแพทย์อะไรเลย  นึกแล้วแค้นในใจว่าทำไมมันไม่เอาตูไปส่งให้หมอ(จริงๆ) รักษาฟร่ะ
พลางคิดก็ยิ่งโมโห เลยเลิกไปตามหมอนัด ยาเยออะไรก็ไม่กินมันแล้ว ช่างมัน แล้วก็ฝ่าเฝือกออกซะให้มันรู้แล้วรู้รอดเองเลยดีกว่า
 
      สุดท้าย ได้ข้อสรุปว่า ไปโรงบาลหรือไม่ไปก็ไม่ต่างกันเลย ไม่ได้อะไรขึ้นมา – เหมือนให้หมอเถื่อนรักษา
ปัจจุบันนิ้วก็ยังงออยู่นิดหน่อย ออกอาการเจ็บทุกครั้งที่นั่งพิมพ์คีย์บอร์ดเป็นเวลานานๆ (ยังดีที่ใช้งานได้)
ภายหลังตอนไปทำงานให้พี่ที่กรมแพทย์ทหารอากาศ เลยเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ฟัง พี่เค้าก็บอกว่า นี่แหละ, อย่าให้พวกห้องฉุกเฉินรักษา ส่วนใหญ่เค้าก็แค่รักษาขั้นพื้นฐานให้ แล้วก็วินิจฉัยเอาว่าไม่ต้องส่งให้หมอ, เราก็ถามไปว่า ถ้าผ่าตัดให้มันเหมือนเดิมจะได้ไหม คุณพี่แพทย์หทาร แกก็เรียกเพื่อนที่เชี่ยวชาญโรคกระดูกมาวิเคราะห์ ได้คำตอบว่า  ผ่าตัดได้ แต่อาจกลับมาใช้งานได้ไม่ 100% เพราะกระดูกบริเวณมือของมนุษย์มีความซับซ้อนสูงมาก กว่ากระดูกส่วนอื่นๆ   ถ้านิ้วใช้งานได้ปรกติก็ไม่ควรผ่าตัดให้มันเสี่ยง ยกเว้นว่ารักสวยรักงามอยากให้นิ้วมันตรงๆสวยๆ(แต่เสี่ยงพิการ) ก็เชิญผ่าตัดตามสบาย
 
    ไอ้เราก็เลยเลิกคิดผ่าตัดไปเลย, ใช้งานนิ้วนี้ "แค่" ตอนจับคีย์บอร์ดเท่านั้นเอง (แต่ดันต้องใช้คีย์บอร์ดตลอดเวลาซะด้วย) จะว่าไปแล้ว ขณะนั่งพิมพ์อยู่นี่ก็เริ่มเจ็บๆแล้ววุ้ย
 
ร่างกายคนเรามันอ่อนแอกว่าที่คิดจริงๆ เห็นทีต้องดูแลให้มันดีกว่าเดิมซะแล้วเพื่อที่จะได้อยู่คู่กันไปนานๆ
 
This entry was posted in Life. Bookmark the permalink.

1 Response to ครบรอบหนึ่งปีที่นิ้วหัก

  1. Clound says:

    ท่านเกิดอะไรกับตัวท่านไม่เคยบอกเราสักนิดเลยวะ พึ่งรู้นะเนี่ย เห้อ
     
    เหตุการมากมายผ่านมา และผ่านไป คิดถึงคนที่เรียกว่าเพื่อนทุก ๆ คนเลย

Leave a comment